เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
มนุษย์ต้องการอาหารเพื่อดำรงชีวิต จิตต้องการธรรมะเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เวลาจิตไปเกิดเป็นพรหม เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดในนรกอเวจี ได้สิทธิเสมอภาคกันในการเกิด เกิดเป็นพรหมก็เป็นพรหมเสมอกัน สมบูรณ์ในการเกิดเป็นพรหม เกิดเป็นเทวดาก็เสมอกันโดยการเป็นเทวดา เกิดเป็นมนุษย์ก็เสมอกันด้วยความเป็นมนุษย์ แต่ในการเกิดเป็นพรหม อำนาจวาสนาของพรหมก็แตกต่างกัน อายุยืน อายุสั้น สิ่งที่เป็นทิพย์ก็แตกต่างกัน แตกต่างกันนะ เกิดเป็นเทวดาก็แตกต่างกัน
เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์มีความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ มีกายกับใจเหมือนกัน แต่ทำไมกิเลสมันเผาลนหัวใจแตกต่างกัน บางคนเกิดมาเป็นมนุษย์ เขามีความสุข ความร่มเย็นในหัวใจของเขาพอประมาณ บางคนเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม กระเสือกกระสน ทุกข์ยาก มันเป็นเพราะเหตุใด? มันเป็นเพราะกรรมคือการกระทำ ทำสิ่งใดมา ทำสิ่งใดมานั้นมันเป็นจริตเป็นนิสัยในหัวใจ แต่เพราะบุญกุศลถึงได้เกิดในสถานะ การเกิดนี้เป็นสถานะที่การเกิด แต่หัวใจมันไม่เหมือนกัน หัวใจมันแตกต่างกัน
ฉะนั้น เราเกิดเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นเรื่องของหัวใจไง ศาสนาพุทธ นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น สอนใครได้หนอ? เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจไง ศาสนาพุทธ เห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะไปตื่นที่ไหนล่ะถ้าหัวใจมันไม่ตื่น มันไปตื่นที่หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาในโลกเหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน คนเกิดมามีจิต จิตตัวนี้มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากตัวนี้เหมือนดุ้นไฟ
มนุษย์เกิดมาถือดุ้นไฟคนละหนึ่งดุ้น คือใครเกิดมาก็มีพลังงานในหัวใจเหมือนกันทุกๆ คน แล้วดุ้นไฟนั้นก็ให้ความร้อนกับใจของตัวเอง ถือดุ้นไฟนั้นไปแล้วก็บ่นว่าร้อน ร้อน ร้อน กาลนั้นมีบุคคลอยู่ผู้หนึ่งผู้มีความฉลาดมาก คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทิ้งดุ้นฟืนนั้นทิ้งแล้ว ได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว แล้วพยายามสั่งสอนเราบอกว่าให้ทิ้งดุ้นไฟอันนั้น ให้ทิ้งดุ้นไฟอันนั้น แต่เราเกิดมา นี่หัวใจมันต้องการตรงนี้ไง ต้องการธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ
เราเกิดมา เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยทางโลกมันพออยู่พอกิน พออยู่พอกินนะถ้าเรารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แล้วรู้จักการใช้จ่าย เรารู้จักต่างๆ ชีวิตนี้พออยู่ได้ แต่หัวใจจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน มันก็มีความทุกข์เหมือนกันไง ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจว้าเหว่ ว้าเหว่เพราะอะไร? เพราะมันพร่องไง ใจนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ในหัวใจคนมันพร่องอยู่เป็นนิจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมและวินัยนี้ไว้ ถ้าเป็นฆราวาสให้เรารู้จักหัดเสียสละ
ถ้าเราไม่รู้จักเสียสละ ถ้าเสียสละขึ้นมามันเสียสละเพื่อสิ่งใด? เสียสละให้หัวใจมันเป็นสุภาพบุรุษ ให้มันรับฟังเหตุ รับฟังผล ถ้าจิตใจมันตระหนี่ถี่เหนียวมันไม่เป็นสุภาพบุรุษ มันไม่รับฟังเหตุผลของใครทั้งสิ้น กิเลสครอบหัวมัน กิเลสครอบงำมัน แล้วมันก็ว่ามันมีความรู้ มีความฉลาด มันเป็นคนยอดคนไง จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ แต่เราก็ไม่รู้จักชีวิตของเรา เราไม่รู้จักชีวิตของเรา
เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ศาสนาสอนลงที่นี่ไง สอนลงที่ว่าเรานี่เราลืมตาอยู่ ตาใสๆ นี่แหละ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา ตาใสๆ นี่แหละมันจะแก้ไขของมัน แต่เวลาเราเคลิบเคลิ้มหลงใหลไป ตาใสๆ นี่แหละแต่ตาบอดสี มันไม่รู้ไม่เห็นของมันไง มันเชื่อมั่นในตัวของมันเองไง ถ้ามันเชื่อมั่นในตัวของมันเอง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนให้เสียสละไง ถ้าเสียสละแล้วมันฟังเหตุฟังผลนะ
ถ้าฟังเหตุฟังผล เห็นไหม นี่ใจเขาใจเรา มนุษย์เกิดมาทุกคนเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทั้งนั้น เราก็คิดเหมือนกัน ทุกคนก็คิดเหมือนกัน แล้วสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เบียดเบียนเราจะไปทำลายคนอื่นทำไม? เวลาเราทำคนอื่นนะ เราทำคนอื่นเราคิดว่าเราได้เปรียบ เราคิดว่าเราได้ผลประโยชน์ของเราไง เราทำลายคนอื่นเท่ากับทำลายหัวใจของเรา เราทำลายหัวใจของเราเพราะอะไร? เพราะมโนกรรม มโนกรรมมันเกิดก่อนนะ เวลามีความรู้สึกนึกคิดเราถึงมีการกระทำ มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม
เวลากายกรรม วจีกรรมออกไปมันออกไปจากไหนล่ะ? ออกจากมโนกรรม เวลามันออกจากมโนกรรมแล้วใครมันรับผลล่ะ? ก็มโนกรรมรับผล ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ตกอยู่ที่ใจทั้งหมด พอตกอยู่ที่ใจทั้งหมด เราเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์ เพราะในสมัยพุทธกาลนะ เวลาใครได้ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ที่ว่าครอบครัวที่มีฐานะมากแล้วลูกชายป่วย เวลาพ่อแม่จะไปเอาหมอมารักษาก็กลัวว่าหมอจะมาเห็นสมบัติของตัวแล้วคิดค่ารักษาแพง เอาลูกชายไปทิ้งไว้หน้าบ้าน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเขาจะมีนิสัยไง นี่ไปโปรดสัตว์ ไปบิณฑบาตผ่านไปฉายแสงฉัพพรรณรังสีให้เขาเห็นหน่อยเดียว เขาเห็นอันนั้นเขามีความปลื้มใจมาก แล้วเขาเสียชีวิตที่นั่น เขาไปเกิดเป็นเทวดาไง
ด้วยความปลื้มใจแค่นั้นนะเขาไปเกิดเป็นเทวดา แล้วเขาก็ดูพ่อของเขา เวลาพ่อของเขาเป็นเศรษฐีมีเงินทองมหาศาล มีลูกชายอยู่คนเดียว นี่แล้วก็ขี้เหนียว เวลาลูกชายเจ็บไข้ได้ป่วยจะรักษาก็กลัวจะเปลืองทรัพย์ เปลืองสมบัติ เวลาลูกชายตายไป ไปคร่ำครวญอยู่นะ เอาศพไปฝังไว้ ไปร้องไห้ทุกวันๆ ไปเฝ้าศพลูกชายไง ลูกชายไปเกิดเป็นเทวดา ลูกชายเกิดเป็นเทวดาเห็นอยากจะโปรดพ่อ นี่วันนั้นร้องไห้ เอ๊ะ ใครร้องไห้มานั่งที่หลุมศพนั้นก่อน ร้องไห้คร่ำครวญอยู่นั่นน่ะ ไอ้พ่อมันจะร้องไห้ เอ๊ะ ใครร้องไห้ก่อนล่ะ? ก็งงนะ บอกว่า
เอ็งมาร้องไห้ทำไม? เอ็งมาร้องไห้ทำไม? อ้าว ก็ลูกของข้า เอ็งมาร้องไห้ทำไม?
ก็จะมาร้องไห้เอาดาวเอาเดือนไง จะร้องไห้เอาดาวเอาเดือน
พ่อก็งงนะ บอกว่า เอ็งจะบ้าหรือ เอาดาวเอาเดือนได้อย่างไร?
นี่ลูกที่ไปเกิดเป็นเทวดาย้อนกลับไง แล้วเอ็งจะบ้าหรือ คนตายไปแล้วจะร้องไห้ให้มันฟื้นมาได้อย่างไร? ได้สติเลย เห็นไหม
นี่เวลาทำบุญกุศลกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่เห็นเท่านั้นแหละเขาได้บุญกุศลของเขา นี่การเสียสละให้ฝึกฝนอย่างนั้น ฝึกฝนเพื่อจิตใจ เวลามันฟังเหตุฟังผล มันจะมีเหตุผลของมัน ถ้ามีเหตุผลของมัน เห็นไหม เราเกิดมานะมีร่างกายและจิตใจเสมอกัน เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราเป็นคนเหมือนกัน แต่ทำไมเราคิดไม่เหมือนกัน เรามีหัวใจ นี่หัวใจทำไมมันแตกต่างกัน? แตกต่างกัน เห็นไหม ด้วยจริต ด้วยนิสัย ด้วยการกระทำมา สิ่งที่กระทำมา ในปัจจุบันนี้สิ่งที่ทำบุญกุศลมันก็วนในวัฏฏะ มันเป็นอามิส
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์เวลาจะนิพพาน อานนท์ เธอบอกเขานะ สิ่งที่เขาบูชาด้วยอามิสให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด
ถ้าใครปฏิบัติบูชามันจะแก้ไขกันที่นี่ไง ถ้ามันแก้ไขกันที่นี่ เห็นไหม มรรคญาณ มรรค ทางอันเอกมันมีหนึ่งเดียว จะปฏิบัติแนวทางใด วิธีการใด ถ้ามันเข้ามาสู่มรรคนั้นเป็นความจริง ถ้าแนวทางปฏิบัติใดก็แล้วแต่ ถ้ามันไม่เข้าสู่มรรคนั้นมันจะไปไหนล่ะ? ถ้ามันไม่เข้าสู่มัคโค ไม่เข้าสู่ทางอันเอก แล้วทางมันอยู่ไหนล่ะ? ทางมันอยู่ไหน? ทางของใคร? นี่ทางของใครนะ ใจของใคร ภพของใคร กิเลสของใคร หัวใจของใคร ถ้าจิตมันเข้ามาสู่ใจของตัว มันก็เข้ามาแก้ไขที่ใจของตัว ถ้ามันไม่เข้ามาสู่ใจของตัวมันจะไปไหน? มันจะไปไหน?
ถ้ามันไปไหนมันก็ส่งออกไง ส่งออกมันก็เรื่องของโลกไง เรื่องของโลกก็เรื่องของวัฏฏะไง เรื่องของวัฏฏะก็เรื่องของจิตที่ท่องเที่ยวอยู่ไง เรื่องของเวียนตายเวียนเกิดอยู่นี่ไง ทำบุญกุศลก็เวียนตายเวียนเกิด ก็เวียนกันอยู่นี่ไง แล้วมันไม่เข้าถึงหลักเกณฑ์ไง ถ้าเข้าถึงหลักเกณฑ์เข้าอย่างไร? ถ้าเข้าอย่างไรนะ ถ้าจิตมันไม่สงบก่อน จิตไม่สงบเข้ามามันงานของใคร? มันงานของใคร? อาการของใจไม่ใช่ใจ อาการของใจ เราอาบเหงื่ออาบน้ำ หาเงินหาทองอยู่นี่หาให้ใคร? หาให้ใคร เราว่าหาให้เราๆ เป็นความจริงหรือเปล่า?
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าเขาไม่พลัดพรากจากเรา เราก็พลัดพรากจากเขา นี่เงินทองใช้ทุกวัน มันก็พร่องไปทุกวัน ถ้าเงินทองยังอยู่กับเรา เราตายจากมันไปมันเป็นของเราหรือเปล่า? นี่ไงเราอาบเหงื่อต่างน้ำหามาว่าเป็นของเราๆ แต่ถ้าเป็นของเรานะ เราเสียสละออกไป เสียสละออกไปนี่มันของเรา ของเราเพราะอะไร? ของเราเพราะว่ามันเป็นทิพย์
คำว่าเป็นทิพย์นะมันเป็นความรู้สึก ถ้าเราเคยทำบุญมาเมื่อ ๑๐ ปี ๒๐ ปีที่แล้วเรายังจำสิ่งนั้นได้ มันยังร้อนๆ สดๆ อยู่อย่างนั้นนะ มันยังอุ่นๆ อยู่อย่างนั้น สิ่งนั้นเพราะอะไร? เพราะมโนกรรมมันซับลงที่ใจ ถ้ามันซับลงที่ใจ เห็นไหม เวลาเราตายไปจิตนี้ออกจากร่าง จิตนี้ออกจากร่างมันจะไปอุบัติที่ไหนมันเป็นเรื่องของเวรของกรรม แล้วสิ่งที่เราทำอยู่ มโนกรรม สิ่งที่มันอยู่กับใจ มันไปกับใจนั้นมันเป็นอะไร? ความรู้สึกนึกคิดไง ความลับไม่มีในโลก จิตที่มันเป็นของมัน เห็นไหม
ฉะนั้น สิ่งที่แสวงหาว่าเป็นของเราๆ มันเป็นของเราชั่วคราว เป็นของเราโดยสมมุติ ถ้ามันยังอยู่กับเรานี่เป็นของเรา แต่ถ้ามันพลัดพรากจากเรา เป็นของเราไหม? แต่ถ้าเสียสละออกไป จิตนี้มันเป็นคนเสียสละออกไป เป็นนามธรรมฝังลงที่จิต เป็นของเราไหม? เป็นของเราไหม? ถ้าเป็นของเรามันจะไปกับเรา ไปกับจิตดวงนี้ จิตจะเวียนตายเวียนเกิดขนาดไหน บุญกุศลไปกับมันทั้งนั้นแหละ เพราะบุญกุศลอันนี้ไงธรรมมันถึงเกิด ความเกิดเป็นมนุษย์เราเสมอภาคด้วยความเป็นมนุษย์ แต่จิตใจของเราไม่เหมือนกัน
เอตทัคคะ ๘๐ องค์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์ ความถนัดแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความถนัดของแต่ละใจไม่เหมือนกัน เพราะความถนัดอันนั้น เวลาชำระกิเลส มรรคญาณอันเดียวกัน ชำระล้างกิเลสอันเดียวกัน มรรคญาณทำให้กิเลสสิ้นไป แต่จริตนิสัยไม่เหมือนกัน ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เห็นไหม เอตทัคคะ ๘๐ องค์ แล้วเอตทัคคะ ๘๐ องค์รวมลงที่ไหนล่ะ? รวมลงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งเอง ถ้าคนจะตั้งเขา ถ้าไม่มีความรู้จะไปตั้งสิ่งใดได้
นี่เวลาสร้างบุญกุศลมา พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งนั้นถึงมีอำนาจวาสนาบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เราสาวก สาวกะนะ สาวก สาวกะได้ทำบุญกุศลมาถึงมาได้ยินได้ฟัง ถ้าได้ยินได้ฟัง ฟังเทศน์นี่ฟังเข้าใจไหม? ถ้าฟังเทศน์ฟังเข้าใจ เราสร้างบุญกุศลมาเพื่อมีบาทฐาน ฟังแล้วเข้าใจ ถ้าฟังเทศน์ไม่เข้าใจนะ วันๆ หลวงพ่อมีแต่บ่น บ่นทุกวันเลย น่ารำคาญ นี่ฟังไม่เข้าใจ ฟังไม่เข้าใจมันรำคาญ
ถ้าฟังเข้าใจ ถ้าธรรมนะเวลามันสะเทือนใจ มันเข้าสู่จิตใต้สำนึกนะขนพองสยองเกล้า เวลานี่ขนลุกหมดนะ ถ้าขนลุกนั่นล่ะมันสะเทือนกิเลส ถ้ามันสะเทือนกิเลสเราต้องมีปัญญา เราต้องคิดแล้ว เราทำอย่างนั้นได้ไหม? เราทำอย่างนี้ถูกต้องไหม? แล้วทำมา สิ่งที่ว่ามโนกรรม ทำสิ่งใดได้อย่างนั้น ใครทำอย่างใดได้อย่างนั้น เพราะการกระทำนั้นเกิดจากจิต การกระทำนั้นเกิดจากมโนกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ความดี ความชั่วของใคร?
ความดี ความชั่ว เห็นไหม นี่เราต้องอาศัยอามิส อามิส สิ่งของ เราต้องอาศัยสิ่งต่างๆ เราถึงพอใจของเรา แต่เวลาจิตมันสงบเข้ามามันไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเลย มันอยู่โดยตัวของมันเองเลย พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนพุทโธไม่ได้เลย พุทโธนี่มันเป็นการนึกเอา พุทโธนี่ก็เป็นคำบริกรรม เวลามันละเอียดเข้ามาไม่ใช่ทิ้ง ไม่ใช่ปล่อย มันละเอียดกลมกลืนมาเป็นอันเดียวกัน กลมกลืนมาจนละเอียดเข้ามา จนพุทโธไม่ได้ จนมันเป็นจิตของมันล้วนๆ สิ่งนั้นมันคืออะไร?
ถ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร สิ่งนั้นนี่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งอันนั้น ฐานที่ตั้ง นี่มัคโคทางอันเอก แล้วทางของใคร? ใครหาทางของตัวเองเจอ คนนั้นจะมีช่องทางเดินออกไป ใครหาทางของตัวเองไม่เจอ คนนั้นจะล้มลุกคลุกคลานอยู่กับโลกนี้ ปฏิบัติขนาดไหนมันก็เวียนตายเวียนเกิดกับโลกนี้ เพราะมันหาทางของตัวไม่เจอ ถ้ามันหาทางของตัวของมันเจอ มันจะแก้ไขเข้าไปสู่บ้านของมันได้ มันจะเข้าไปแก้ไขภวาสวะ แก้ไขภพของมันได้ ถ้าแก้ไขภพของมันได้มันทำลายกิเลสของมันได้
เราเกิดมา เห็นไหม ทุกคนทำบุญกุศลมาก็เพื่อความมั่งมีศรีสุข เพื่อความสุขสบายของเรา มั่งมีศรีสุขนั่นเป็นผลของวัฏฏะนะ แต่ถ้าในปัจจุบันนี้เรามีสติ มีปัญญา หน้าที่การงานนี่สมบัติชั่วคราว สมบัติของโลก สมบัติที่เป็นสาธารณะ ใครมีปัญญาก็ตักตวงมาเป็นของตัวได้ ใครมีปัญญานะ สมบัติสาธารณะ นี่ธุรกิจการค้าต่างๆ ใครมีเชาวน์ปัญญาจะหาสิ่งนั้นมาได้ แต่สมบัติในหัวใจล่ะ? สมบัติที่ว่าทุกดวงใจว้าเหว่ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกดวงใจว้าเหว่ เพราะมันมีกิเลสทำให้มันพร่องอยู่
จิตใจมันพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีความอิ่มเต็ม เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่มีความทุกข์ แล้วถ้ามีความทุกข์ สมบัติของเรา สมบัติในใจของเรากับสมบัติของโลกเราจะเลือกสิ่งใด? ถ้าสมบัติของเรา เราพยายามฝึกฝนของเรา เห็นไหม เพราะมีครูมีอาจารย์ มีธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวก สาวกะขอให้ได้ยินได้ฟัง
คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องการหมอรักษามาก เรานี่จิตใจมันป่วยด้วยไข้ของกิเลส มันป่วยด้วยความพร่องของมัน ด้วยความไม่รู้ของมัน แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็มีอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วถ้ากิเลสมันดื้อรั้นนะ มันบอกว่าสิ่งนั้นเขียนเสือให้วัวกลัว ไม่มี อะไรก็ไม่มี แต่เวลามันต้องการของมัน มันแสวงหาของมันตามกิเลสมันบอกว่าดี บอกว่ามี แต่เวลาทำความจริงขึ้นมามันบอกว่าไม่มี ไม่มีเพราะไม่มีการปฏิบัติ ไม่มีเพราะมันไม่เป็นปัจจัตตัง ไม่มีเพราะมันไม่เป็นสันทิฏฐิโก
ถ้ามันมีจริง มันรู้จริงเห็นจริง มันเป็นปัจจัตตัง เผชิญหน้าสดๆ ร้อนๆ พระศรีอริยเมตไตรยอนาคตก็จะมาตรัสรู้เรื่องอริยสัจนี้ พระศรีอริยเมตไตรยข้างหน้าก็จะมาตรัสรู้ มาฆ่ากิเลสเหมือนกับที่เราเข้าไปสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ถ้าทำได้จริงนะ แต่ถ้ากาลเวลามันล่วงผ่านไป สังคมก็เลอะเลือนไป ธรรมวินัยก็อยู่อย่างนี้ แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครศึกษามัน ถ้าศึกษามันนะ แล้วประพฤติปฏิบัติให้ตามความเป็นจริงของเรา นี่เป็นผลประโยชน์ของเรา
จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ ปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วได้พบพระพุทธศาสนา แล้วกึ่งพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถือธงชัยนำหน้าเราไป แล้วเราจะทำหรือไม่ทำ มันต้องถามตัวเองว่าเราโง่หรือเราฉลาด เอวัง